ขั้นตอนการดำเนินคดี
1. การยื่นคำฟ้องต่อศาล
การดำเนินคดีเริ่มจาก “การยื่นคำฟ้อง” โดยฝ่ายโจทก์ต้องจัดเตรียมเอกสารดังนี้
📌 สำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านของโจทก์
📌 เอกสารแสดงสิทธิหรือหลักฐานแห่งคดี (เช่น สัญญา กู้ยืม หลักฐานโอนเงิน ฯลฯ)
📌 หนังสือมอบอำนาจ (กรณีให้ทนายความดำเนินการแทน)
📌 ชำระค่าธรรมเนียมศาลตามทุนทรัพย์
หลังจากรับคำฟ้องแล้ว ศาลจะออกหมายเรียกจำเลยให้มาศาลในวันนัดพิจารณา
2. การยื่นคำให้การของจำเลย
เมื่อจำเลยได้รับหมายเรียก จะต้องยื่น คำให้การ ภายในเวลาที่ศาลกำหนด (ปกติ 15 วันนับแต่วันที่ได้รับหมาย)
หากไม่ยื่นคำให้การ ศาลอาจพิพากษาโดยขาดนัดยื่นคำให้การ
ทนายจำเลยสามารถต่อสู้ตามข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย เช่น ไม่เป็นหนี้, ฟ้องเกินสิทธิ, หรือขาดอายุความ
3. การสืบพยานและไต่สวน
เมื่อศาลกำหนดวันสืบพยาน
โจทก์และจำเลยต้องนำพยานหลักฐานมาสืบต่อหน้าศาล
ทนายความจะซักถามพยาน เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงตามที่แต่ละฝ่ายกล่าวอ้าง
ขั้นตอนนี้ถือเป็นหัวใจของคดี เพราะศาลจะพิจารณาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานทั้งหมดก่อนมีคำพิพากษา
4. การพิพากษา
เมื่อสืบพยานครบ ศาลจะมีคำพิพากษา
หากศาลเห็นว่าโจทก์พิสูจน์ได้ครบถ้วน ศาลจะพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้หรือปฏิบัติตามฟ้อง
หากจำเลยพิสูจน์ได้ว่าโจทก์ไม่มีสิทธิ ศาลจะยกฟ้อง
คู่ความที่ไม่พอใจคำพิพากษาสามารถอุทธรณ์หรือฎีกาได้ภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด (30 วัน)
5. การบังคับคดี
เมื่อคดีถึงที่สุด (ไม่มีการอุทธรณ์หรือฎีกาแล้ว) หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา
โจทก์สามารถยื่น คำขอบังคับคดี ต่อศาลเพื่อออกหมายบังคับคดี เช่น
📍 ยึดทรัพย์–อายัดบัญชีธนาคาร
📍 อายัดเงินเดือน หรือรายได้จำเลย
📍 ขายทอดตลาดทรัพย์สินเพื่อนำเงินมาชำระหนี้
ขั้นตอนนี้อยู่ในความดูแลของ “เจ้าพนักงานบังคับคดี” ซึ่งจะดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการบังคับคดีแพ่ง
6. การปิดคดี
เมื่อมีการชำระหนี้ครบถ้วน หรือมีการไกล่เกลี่ยยอมความแล้ว
โจทก์สามารถขอให้ศาลสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบได้
ถือเป็นการสิ้นสุดกระบวนการทางศาลอย่างสมบูรณ์